บทความ "จิตตปัญญาพาอ่าน" #2 หัวข้อ Viruses in the Dynamics of life ไวรัสและพลวัตแห่งชีวิต
บทความ "จิตตปัญญาพาอ่าน" #2
หัวข้อ Viruses in the Dynamics of life
ไวรัสและพลวัตแห่งชีวิต
Craig
Holdrege ผู้เขียน
สิรินันท์
นิลวรางกูร ผู้แปลและเรียบเรียง
©2020
The Nature Institute | 20 May Hill Rd | Ghent, NY 12075 | natureinstitute.org
https://www.natureinstitute.org/article/craig-holdrege/viruses-in-the-dynamics-of-life
บทความนี้เป็นการสรุปจากบทความที่เขียนโดย
Craig
Holdrege ผู้อำนวยการ The Nature Institute, New York, USA โดยบทความต้นฉบับเกิดจากการพูดคุยระหว่างนักวิจัยที่ The Nature
Institute เกี่ยวกับมุมมองของ Goethean scientist ที่พยายามอธิบายและให้ความสำคัญกับไวรัสดังเช่นที่มันเป็น
“เชื้อโรคที่มองไม่เห็น” เหล่านี้เป็นปริศนาที่แท้จริง แล้วเราจะมีมุมมองต่อไวรัสนี้อย่างไรดี
เราติดอยู่กับวิธีการในการอธิบายไวรัสว่าเป็นศัตรูที่มาจู่โจมเรา
ในสังคมของเรามีแนวโน้มในการแบ่งขั้วเสมอ ๆ นี่พวกฉัน นั่นพวกเธอ
การแบ่งขั้วเช่นนี้ปิดกั้นการทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งต่อสิ่งที่เกิดขึ้น
โดยเฉพาะเมื่อเรามองว่าไวรัสคือศัตรู ปัจจุบันเรารู้ชัดว่าแบคทีเรียและไวรัสก็มีบทบาทด้านบวกด้วยเช่นกัน
ตัวอย่างเช่น microbiome (แบคทีเรียที่อยู่ตามผิวหนัง
ลำไส้ และส่วนอื่น ๆ ของร่างกายมนุษย์ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย)
คำถามสำคัญคือวิธีการที่เราเรียนเกี่ยวกับไวรัสนั้นจำกัดความสามารถของเราในการทำความเข้าใจพวกมันและสถานะของมันในองค์รวมที่ยิ่งใหญ่ที่เราเรียกว่าโลกอย่างไร
การค้นพบไวรัส
เชื้อก่อโรคที่มองไม่เห็น
นานมาแล้วก่อนที่เราจะรู้จักคำว่า
“เชื้อโรค”
ผู้คนรู้เพียงแค่ว่าโรคแพร่กระจายในอยู่สิ่งแวดล้อมและสามารถติดต่อจากคนสู่คนได้
เช่นในช่วงศตวรรษที่ 14
ที่เกิดการระบาดของกาฬโรค คำว่า “เชื้อโรค”
ก็ยังไม่เป็นที่รู้จักจนกระทั่งปลายศตวรรษที่ 19
ที่มีการตั้งทฤษฎีเชื้อโรค (germ theory) ขึ้นมา
มีการแยกแบคทีเรียออกมาจากคนที่เป็นโรค เอาไปเลี้ยงในห้องทดลอง
ฉีดเข้าไปในสัตว์ที่แข็งแรง และสัตว์นั้นก็เป็นโรคขึ้นมา
นักวิทยาศาสตร์พยายามหาแบคทีเรียชนิดอื่น ๆ ที่เชื่อว่าเป็นสาเหตุของโรคต่าง ๆ และในบริบทนี้เองที่ไวรัสถูกค้นพบ
ในช่วงปี 1800 เกิดโรคระบาดของโรคใบด่างบนใบยาสูบ (Tobacco mosaic disease) นักวิทยาศาสตร์พบว่าเมื่อนำใบที่เป็นโรคมาบดและได้น้ำออกมาก น้ำที่ได้นั้นสามารถทำให้ต้นยาสูบที่แข็งแรงเป็นโรคได้
เป็นที่แน่ชัดว่ามันคือโรคติดต่อ
นักวิทยาศาสตร์ใส่แบคทีเรียหลายชนิดเข้าไปในต้นยาสูบ
แต่ต้นยาสูบเหล่านั้นก็ไม่เป็นโรค และเมื่อต้มของเหลวที่ติดเชื้อที่ 80ºC ของเหลวนั้นก็ไม่มีผลอะไรกับต้นยาสูบเลย
ในปี 1892 นักวิทยาศาสตร์พบว่าน้ำเลี้ยงของใบไม้ที่ติดเชื้อโรคใบด่างบนใบยาสูบ
ยังคงคุณสมบัติในการทำให้ติดเชื้อถึงแม้แบคทีเรียจะถูกกรองออกไปแล้ว
ทำให้เกิดปริศนาว่าแล้วแบคทีเรียเกี่ยวข้องหรือไม่อย่างไร
ต่อมาก็พบว่าของเหลวจากใบที่ติดเชื้อนั้นสามารถเพิ่มจำนวนได้ในต้นไม้ที่มีชีวิตและทำให้ตันไม้เป็นโรค
แต่ไม่สามารถเพิ่มจำนวนได้ในอาหารเลี้ยงเชื้อสำหรับแบคทีเรียในห้องทดลอง
นักวิทยาศาสตร์สรุปว่าของเหลวนั้นมีคุณสมบัติที่เป็นเอกลักษณ์
และเริ่มมีการใช้คำว่า contagium ที่แปลว่าเชื้อโรคติดต่อ
และ virus มาจากภาษาละตินที่มีความหมายว่า พิษ หรือ
ของเหลวมีพิษ
นี่คือการค้นพบไวรัสในช่วงแรก ๆ
เราไม่สามารถเห็นไวรัสได้
มันคือเชื้อโรคชนิดพิเศษที่อยู่ในของเหลวที่สามารถกรองผ่านฟิลเตอร์สำหรับกรองแบคทีเรีย
สามารถทำให้สิ่งมีชีวิตติดเชื้อและแบ่งตัวในสิ่งมีชีวิตนั้น หลังจากนั้นนับสิบ ๆ
ปีมีการค้นพบโรคที่เกิดจากไวรัสอีกมากมาย รวมถึงโรคของมนุษย์ที่เกิดจากไวรัส เช่น
ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ โปลิโอ ฝีดาษ พิษสุนัขบ้า อิสุกอิใส HIV/AIDS
คางทูม โรคหัด และ โรคหัดเยอรมัน
ไวรัสคืออนุภาค
ในปี 1935 นักเคมีสามารถตกผลึกของเหลวจากพืชที่เป็นโรคใบด่างบนใบยาสูบได้สำเร็จ
สารละลายเจือจางมาก ๆ ของผลึกนั้นสามารถทำให้เกิดโรคใบด่างบนใบยาสูบได้
หลังจากนั้นก็ค้นพบว่าไวรัสประกอบด้วยทั้งโปรตีนและกรดนิวคลิอิก
(ดีเอ็นเอหรืออาร์เอ็นเอ)
ต่อมาเมื่อมีการประดิษฐ์กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนขึ้นจึงมองเห็นรูปร่างของไวรัสที่ทำให้เกิดโรคใบด่างบนใบยาสูบว่ามีลักษณะเป็นแท่ง
ๆ ไวรัสนั้นมีขนาดเพียง 0.00012 mm เท่านั้น
ไวรัสทุกชนิดมีเปลือกที่เป็นโปรตีน (capsid) อยู่ด้านนอก
ห่อหุ้มดีเอ็นเอหรืออาร์เอ็นเอที่เป็นสารพันธุกรรมของมันไว้ข้างใน
ไวรัสต้องอาศัยอยู่ในเซลล์ที่มีชีวิตเพื่อที่จะแพร่พันธุ์เนื่องจากมันไม่มีความสามารถที่จะแพร่พันธุ์ได้ด้วยตัวเอง
มันต้องเข้าไปในเซลล์ที่มีชีวิต ปล่อยสารพันธุกรรมของมันเข้าไปในเซลล์
ไวรัสเพิ่มจำนวนขึ้นโดยอาศัยสารและกลไกต่าง ๆ ในเซลล์
เซลล์ตายลงและปล่อยไวรัสออกไป และไวรัสก็ไปติดเซลล์อื่นต่อไป
การพึ่งพากันระหว่างไวรัสและสิ่งมีชีวิตเจ้าบ้าน
ทั้งนี้ในการเกิดโรคจากไวรัสไม่ใช่กระบวนการแบบทางเดียว
มันคือปฏิสัมพันธ์ระหว่างกระบวนการของไวรัสและกระบวนการของสิ่งมีชีวิต
ตัวอย่างเช่น เมื่อไวรัสเข้าไปในเซลล์เจ้าบ้าน (host) มันต้องยึดติดกับตัวรับบนผิวเซลล์ ในกรณีของไวรัสโคโรน่า โปรตีนหนาม
(spike protein) ของไวรัสจับกับตัวรับที่จำเพาะบนผิวเซลล์เจ้าบ้าน (ACE2)
จากนั้นเอนไซม์ของเซลล์เจ้าบ้านทำปฏิกิริยากับโปรตีนหนาม
ทำให้เปลือกของไวรัสรวมเข้ากับเยื่อหุ้มเซลล์ของเซลล์เจ้าบ้าน ไวรัสสามารถปล่อยสารพันธุกรรมของมันเข้าไปในเซลล์
แสดงว่าไวรัสต้องมีความจำเพาะต่อเซลล์ที่ติดเชื้อและสิ่งมีชีวิตเจ้าบ้าน
การแบ่งตัวของไวรัสในเซลล์ทำให้เกิดการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันของสิ่งมีชีวิตเจ้าบ้าน
อาการของโรคติดเชื้อ เช่น ไข้และการอักเสบ
คือการตอบสนองของร่างกายโดยรวมต่อการกระทำของไวรัส
ร่างกายของคนบางคนอาจจะตอบสนองต่อการติดเชื้อมากเกินไป
ทำให้เกิดการกระตุ้นกระบวนการอักเสบที่ทำลายเนื้อเยื่อของตัวเอง
ซึ่งในกรณีของโควิด-19
การทำลายเกิดขึ้นในเนื้อเยื่อของระบบทางเดินหายใจของคนที่ติดเชื้อและทำให้เจ็บป่วยสาหัส
แต่ไวรัสก็ไม่ได้ทำให้คนที่ติดเชื้อทุกคนป่วย บางคนได้รับเชื้อแต่ไม่มีอาการ
ส่วนบางคนได้รับเชื้อแต่มีอาการถึงเสียชีวิต
แสดงให้เห็นว่าผลของการติดเชื้อนั้นขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมของเจ้าบ้าน
อันที่จริงแล้วไวรัสอยู่ร่วมกับเรามาตลอดทั้งชีวิต
ไม่ใช่อยู่ร่วมกับเราตอนที่เราป่วยเท่านั้น เซลล์ของคนส่วนใหญ่มีไวรัสอย่างน้อย 10
ชนิดอยู่ในตัว บางคนก็มีมากกว่านั้น ตัวอย่างเช่น อีสุกอีใส
ไวรัสที่อาศัยอยู่ในเซลล์บางเซลล์ตลอดชีวิตของเรา
นอกจากนี้เรายังมีไวรัสบางชนิดอยู่ในตัวแต่ไม่ได้ทำให้เราป่วย
มีการประมาณว่าในแต่ละวันมีการหมุนเวียนของไวรัสนับพันล้านอนุภาค
อุจจาระของมนุษย์มีไวรัสชนิดต่าง ๆ มากถึงพันล้านชนิดต่อเซลล์หนึ่งเซลล์
นักจุลชีววิทยาคนหนึ่งสรุปว่าปฏิสัมพันธ์ระหว่างไวรัสและเจ้าบ้านจะประโยชน์หรือโทษ
“ขึ้นกับตำแหน่งทางกายวิภาค ชนิดของยีนของเจ้าบ้าน การมีเชื้อที่ทำให้เกิดโรค (infectious
agent) และจุลชีพที่อาศัยอยู่ในร่างกายแต่ไม่ก่อให้เกิดโรค (commensal
microbe)” นั่นคือบริบทเป็นตัวกำหนดว่าไวรัสนั้นอันตราย เป็นกลาง
หรือเป็นประโยชน์ต่อเจ้าบ้าน
โรคที่เกิดจากไวรัสเป็นปฏิสัมพันธ์ที่ยินยอมร่วมกันระหว่างสิ่งมีชีวิตเจ้าบ้านกับไวรัส
การใช้คำว่า “สาเหตุ” ในทางการแพทย์และในทางชีววิทยาเป็นการทำให้เข้าใจผิดและควรหลีกเลี่ยง
คำว่าสาเหตุเป็นการชี้นำว่าสิ่งหนึ่งทำให้อีกสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น แต่ในชีวิตจริง
สิ่งที่เราเรียกว่าสาเหตุนั้นมักจะอยู่ร่วมกับบริบท
และการมีปฏิกิริยาซึ่งกันและกันกับบริบทนี้เองที่ทำให้เกิดผลขึ้นมา ในชีวิตมีแต่ความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน
นักวิทยาศาสตร์มากมายได้ค้นพบไวรัสที่เป็นประโยชน์ในแบคทีเรีย
รา พืช สัตว์ และมนุษย์ ในมหาสมุทรมีไวรัสจำนวนมากมายและหลากหลายชนิด
ไวรัสทำให้แบคทีเรียและชุมชนแบคทีเรียเกิดการเปลี่ยนแปลงใกล้พื้นผิวน้ำ
เมื่อแบคทีเรียที่ติดเชื้อไวรัสตายลง สารอาหารก็ถูกปลดปล่อยออกมาในมหาสมุทรทำให้เกิดการไหลเวียนของสารอาหาร
นักอณูชีววิทยาได้ค้นพบชิ้นส่วนของดีเอ็นเอในจีโนม
(genome
คือข้อมูลทางพันธุกรรมทั้งหมดที่จำเป็นใช้ในการสร้างและจำเป็นต่อการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิต)
ของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดว่ามีต้นกำเนิดจากไวรัส ชิ้นส่วนของไวรัสได้มาหลอมหลวมเป็นส่วนหนึ่งของจีโนมของสิ่งมีชีวิต
มีการประมาณการณ์ว่าประมาณ 8-9% ของจีโนมของเรามียีนของไวรัสอยู่
ยีนของไวรัสยังมีอยู่ในพืชและสัตว์ด้วย มันทำหน้าที่หลากหลาย
ตัวอย่างเช่นในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม retrovirus เป็นส่วนสำคัญในพัฒนาการของรก
การอยู่ร่วมแบบมีปฏิสัมพันธ์ใกล้ชิดกันนี้แสดงให้เห็นว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะแบ่งขอบเขตอาณาจักรของชีวิตให้ชัดเจน
แบคทีเรียและไวรัสต่างก็เป็นส่วนประกอบของสิ่งมีชีวิตทั้งหมด
มีกรณีที่น่าทึ่งของการอยู่ร่วมกัน (symbiosis)
ของสิ่งมีชีวิตและไวรัส มีต้นหญ้าชนิดหนึ่ง (Dichanthelium
lanuginosum) สามารถเติบโตได้ในที่ที่มีอุณหภูมิสูงมากกว่า 50ºC
ต้นหญ้าเป็นที่อยู่ของราชนิดหนึ่ง
ทั้งหญ้าและรานั้นไม่สามารถอยู่ในสภาวะอากาศแบบนั้นได้ด้วยตัวเอง
พวกมันต้องอยู่ร่วมกัน ยิ่งไปกว่านั้นมีการค้นพบว่าในรานั้นมีไวรัสอยู่ด้วย
ถ้าไม่มีไวรัส ทั้งต้นหญ้าและราที่อยู่ร่วมกันก็ไม่สามารถทนความร้อนได้
นั่นคือการอยู่ร่วมกันของสมาชิกทั้งสามที่ทำให้ต้นหญ้าและคู่หูของมันสามารถเติบโตได้ในสภาวะอากาศที่รุนแรง
อีกตัวอย่างหนึ่งที่คล้ายกัน เพลี้ยที่ดำรงชีวิตด้วยการดูดกินน้ำเลี้ยงจากพืชตระกูลถั่ว
(pea aphid) มีแบคทีเรียที่คอยปกป้องเพลี้ยจากแตนเบียน (parasitic
wasp) แตนเบียนวางไข่ในตัวของเพลี้ย แบคทีเรียในเพลี้ยมีไวรัสอยู่
และไวรัสนี้เองที่ทำให้แบคทีเรียสร้างสารพิษออกมา
ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมามีการค้นพบความสัมพันธ์ที่เป็นประโยชน์ซึ่งกันและกันระหว่างแบคทีเรียและสิ่งมีชีวิตอื่น
นอกจากนี้นักวิทยาศาสตร์ยังค้นพบว่าไวรัสมีบทบาทในหลายแง่มุมในสายใยแห่งชีวิตขนาดใหญ่บนโลก
แบคทีเรียและไวรัสเป็นมากกว่าศัตรู แบคทีเรีย ไวรัสและสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ
มีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกันและอาศัยอยู่ซึ่งกันและกัน การแลกเปลี่ยนและการเปลี่ยนแปลงของสารนั้นมีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องและลื่นไหล
และบนโลกใบนี้ก็มีความอุดมสมบูรณ์ของสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดที่แตกต่างกันมากมาย
สิ่งมีชีวิตต่างก่อรูปร่าง
เปลี่ยนแปลงรูปร่างโดยมีปฏิสัมพันธ์ที่ต่อเนื่องกับสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ
และทั้งหมดนี้ก็มีอิทธิพลต่อสิ่งแวดล้อม แต่ทุก ๆ สิ่งมีชีวิตสร้างตัวตนของมันเองจากสิ่งมีชีวิตอื่น
ดังนั้นจึงไม่มี “ความเป็นคนอื่น” (otherness) และ “การแบ่งแยก” (separateness)
มุมมองที่กว้างขึ้น
โลกคือทรงกลมขนาดใหญ่ที่เป็นหนึ่งเดียว เป็นที่ดำรงอยู่ของความแตกต่างหลากหลายของกิจกรรมต่าง
ๆ และเป็นที่ดำรงอยู่ของสิ่งต่าง ๆ ที่มีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน
การเชื่อมโยงปฏิสัมพันธ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงและวิวัฒน์อยู่ตลอดเวลา มีความเกี่ยวพันหรือเชื่อมโยงสอดประสานกันอยู่เสมอ
เมื่อเราละทิ้งกระบวนทัศน์ที่ว่าโลกเป็นที่อยู่ของตัวตนที่แยกจากกัน
ตัวตนที่ต่างกันมามีปฏิสัมพันธ์กันเพื่อที่จะก่อให้เกิดกลุ่มก้อน เราอาจถามว่า
เหตุการณ์แต่ละเหตุการณ์ที่มีปฏิสัมพันธ์กันสามารถเปิดเผยความเป็นองค์รวมที่ยิ่งใหญ่กว่า
(larger
whole) ได้อย่างไร องค์รวมแสดงออกมาในรูปของส่วน (parts) และกระบวนการต่างๆ (processes) เหตุการณ์หรือปรากฏการณ์เฉพาะแสดงออกมาเป็นองค์รวมที่ใหญ่กว่า
และองค์รวมที่ใหญ่กว่านี้เป็นส่วนหนึ่งของเหตุการณ์หรือปรากฏการณ์เฉพาะได้อย่างไร
เราไม่ได้มองหาความสัมพันธ์ของเหตุและผล แต่มองหาความหมายที่อาจแสดงออกในความสัมพันธ์ต่าง
ๆ ที่เราพบเจอ
เมื่อเราเริ่มมองเห็นว่าไวรัสเป็นส่วนหนึ่งของพลวัตแห่งชีวิต
มันอาจทำให้เราสามารถเคลื่อนไปไกลกว่าภาพของศัตรูที่ฝังแน่นและมีเพียงด้านเดียว
ภาพของความดีและความชั่ว ภาพของพวกเราและพวกเขา
ดังนั้นคำถามของเราไม่เพียงแค่ว่าเราจะเอาชนะศัตรูได้อย่างไร มีคำถามที่ยิ่งใหญ่กว่านอกเหนือจากการหาวิธีการที่ช่วยให้ผู้คนปลอดภัยจากการระบาด
เราจะมีมุมมองต่อปฏิสัมพันธ์ระหว่างไวรัสกับเจ้าบ้านที่แตกต่างออกไปได้อย่างไร
อะไรคือลักษณะของนิเวศวิทยาของโลก ความสัมพันธ์ทางสังคม วิธีที่เราคิด รู้สึก และการกระทำที่ทำให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
อะไรคือพื้นฐานของความไม่สมดุลในสิ่งมีชีวิต ในจิตวิญญาณของเรา และในสังคมของเรา
ที่ทำให้เกิดการแพร่ระบาดแบบนี้ พวกเราคือมนุษย์ที่เป็นหนึ่งเดียว
ที่แตกต่างจากสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ บนโลก เรามีความตั้งใจที่จะเปลี่ยนแปลงโลก ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ได้สอนเราบางอย่าง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น