การยอมอย่างไม่มีเงื่อนไข คือการปล่อยวางที่แท้จริง
การยอมอย่างไม่มีเงื่อนไข
คือการปล่อยวางที่แท้จริง
โดย รศ.นพ. ชัชวาลย์ ศิลปกิจ ผู้อำนวยการศูนย์จิตตปัญญาศึกษา
วันพฤหัสบดีที่ 9 เมษายน 2563 เวลา 19.00-20.00 น.
ผ่านระบบ Zoom
การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ใหญ่โต
เกิดผลกระทบหลายด้าน และเรากำหนดสถานการณ์ภายนอกไม่ได้มากนัก
เมื่อเราไม่เคยพบเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน ไม่คุ้นชิน จึงเกิดการกระทบจิตใจ
รู้สึกเหมือนชีวิตถูกคุกคาม การตอบสนองตามสัญชาตญาณมี 2
แบบ คือ 1) การระแวดระวัง ตั้งท่าสู้ (fight) และ 2) การหาทางหนี
ว่าเราจะหลบหนีจากอันตรายนี้ได้อย่างไร (flight) แต่ด้วยสถานการณ์แบบนี้
เราไม่มีอิสระที่จะตอบสนองสัญชาตญาณทั้ง 2 แบบนั้นคือสู้ก็ไม่รู้จะสู้หรือหนีแบบไหนอย่างไร
มันยิ่งทำให้ใจหวั่นไหว พอใจหวั่นไหวก็ยิ่งมีความคิดในทางสนับสนุนความหวั่นไหวนั้น
ทำให้ยิ่งรู้สึกว่าชีวิตเราอยู่ในอันตราย
เวลาที่อยู่ในอาการของสัญชาตญาณระวังภัยแบบนั้น
คำพูดหรือข้อความดีๆ ที่จะสามารถกระตุกเตือนใจได้อาจไม่ได้ผล ข้อความดีๆ
จะได้ผลก็กับคนที่มีความมั่นคงในใจอยู่แล้ว
การฝึกฝนจึงต้องเริ่มจากการกลับมาทำให้ใจของเรามีความมั่นคงก่อน นี่เปรียบได้กับศีลในพระพุทธศาสนา
ศีลคือการมีใจเป็นปกติ ให้เรามีใจเป็นปกติและมั่นคงก่อนค่อยเริ่มทำอะไรที่ควรทำ
เวลาเราเจอสถานการณ์ที่ร่างกายเราอาจมีอาการตกใจ
หวั่นไหว ถ้าเราฝืน ต่อต้าน เรายิ่งถูกวงจรนั้นหมุนเข้าไปเรื่อยๆ
เกิดอาการตามสัญชาตญาณว่าจะสู้หรือหนี แต่ถ้าเรายอมรับ
เราจะสามารถมีปฏิกิริยาแบบที่ 3 ได้
คือการจัดการแต่ละอย่างไปตามสถานการณ์ เรียกทำอะไรอย่างมีสติมีปัญญา การยอมรับตามความเป็นจริงจึงเป็นเรื่องสำคัญ
ไม่ทำให้เราต้องมีภาระในการใส่สีตีไข่หรือมโนให้สถานการณ์ยุ่งยากกว่าที่เป็น
แทนที่เราจะเรียนรู้ที่จะอยู่กับความรู้สึกที่เกิดขึ้นอย่างตรงไปตรงมา
เรามักมีคำพูดคำสอนติดปากว่า อย่าคิดมาก อย่าฟุ้งซ่าน หรือมักบอกมักสอนเด็กว่า
ไม่เป็นไรแค่นี้ไม่เจ็บหรอก
เหล่านี้เป็นการลดทอนประสบการณ์ทางร่างกายและความรู้สึกที่เกิดขึ้นตามจริง
ที่ถูกคือ เราควรสอนให้เด็กรับรู้ความรู้สึกเหล่านั้น ว่ามันเป็นธรรมชาติ
เป็นธรรมดาของชีวิต ความรู้สึกเหล่านั้นเป็นเพียงอาการ มันไม่มี “ฉัน”
มันเป็นเพียง “อาการ” ที่เกิดขึ้น
ผมเคยฝันว่าเจอผี
มันน่ากลัวมาก วิ่งหนีมันตลอดทุกคืนจนเหนื่อย
วันหนึ่งเลยคิดได้ว่าจะเปลี่ยนท่าทีใหม่ ถ้าวันนี้ฝันอีกจะยอม จะไม่หนี
แล้วก็ฝันจริงๆ ก็ยังรู้สึกกลัว และสุดท้ายก็บอกตัวเองในฝันนั่นแหละว่า ยอมแล้ว
จะทำอะไรก็ทำไป กูจะนอน ไม่ดิ้นรนต่อสู้หรือหนี ไม่เหนื่อย ไม่บาดเจ็บ
หลับต่ออย่างสบาย
พูดถึงการฝึกฝนเพื่อให้ใจเกิดการยอมรับแบบนั้นได้
เราต้องมีความเข้าใจใหม่ว่าเราจะฝึกภาวนาโดยเอาเหตุเป็นตัวตั้ง
ไม่ใช่เอาผลเป็นตัวตั้ง ถ้าเราบอกว่าจะมีวินัยในการฝึก 5
นาที ก็ทำโดยไม่มีข้อแม้ เช่น 5 นาทีนั้นเกิดอะไรขึ้นก็ไม่ต้องสนใจ
ไม่ใช่ว่านั่งไป 1 นาทีคิดโน่นคิดนี่ แล้วก็เลิกแล้ว
ไม่เอาแล้ว นั่งแล้วไม่สงบก็เลิกนั่ง อย่างนี้ไม่ใช่ อย่างนี้แปลว่าเราเอาผล
(ความสงบ) เป็นตัวตั้ง แต่ชวนให้เราทำเหตุคือ เพียรนั่งดูลมหายใจไป เราอยู่ส่วนเรา
ความคิดก็ส่วนความคิด กิเลสตัณหาที่มากับความคิดก็ไม่ให้มันมีผลกับเรา
เราไม่ทำตามความอยากหรือความไม่อยาก แต่ทำตามเจตนาและความมุ่งมั่น นี่คือการทำโดยเอาเหตุเป็นตัวตั้ง
ฉะนั้น ใน 5 นาทีนั้น แม้เราจะรู้อยู่กับลมหายใจเพียงไม่ถึง 10
วินาทีก็ไม่เป็นไร สิ่งที่ได้คือ ได้ทำความเพียรตามที่ตั้งใจ
สรุปคือ
เราฝึกฝนโดยไม่หลงทำ 2 อย่างที่ไม่ควรทำ
อย่างแรก ความคิดมันบอกให้เราเลิก เราก็เลิกตามมัน อย่างที่สอง เราฝืน
เราพยายามเอาชนะ พยายามเพ่งเล็งอยากได้ กดข่มความคิด
นี่ก็เป็นการทำตามกิเลสอีกแบบเช่นกัน ทั้ง 2 แบบนี้คือที่สุด
2 ส่วนที่ไม่ควรดำเนิน ทางที่ควรดำเนินคือทางสายกลาง คือ
เมื่อมีความคิดมา ก็ปล่อยมันผ่านไป เหมือนเราอยู่ในทะเล หากมีคลื่นมา ก็แค่ประคองตัวไปกับคลื่นนั้นให้ผ่านไปได้
เราไม่ได้มีหน้าที่ทำให้คลื่นสงบ
ที่ผ่านมาเราไม่ได้ปฏิบัติแบบเป็นนักศึกษา
แต่เราจะเป็นช่างปั้น แถมเป็นช่างปั้นที่ยังไม่รู้จักดินเสียด้วยแต่จะขึ้นรูปแล้ว
คือเราจะปั้นแต่งให้ปฏิบัติแบบนั้นแบบนี้ให้ได้สวยงาม
ซึ่งนั่นไม่ใช่การฝึกในธรรมชาติ
การปฏิบัติแบบเป็นนักศึกษาคือการฝึกเพื่อศึกษาตัวเองว่าเป็นอย่างไร
เกิดอะไรขึ้นบ้าง โดยไม่ไปปรับแต่งมัน รูปแบบไม่ใช่ประเด็นสำคัญของการฝึก
แต่สภาวะข้างในต่างหากที่เป็นประเด็น ฝึกเพื่อฝึก ไม่ฝึกเพื่อได้อะไร
เราฝึกที่จะอยู่กับความไม่ได้อะไรบ้างก็ได้
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น